รู้จักการทำสีผมออมเบร (Ombre) และหลากไอเดียย้อมสีปลายผมสวยๆ

การทำสีผมแบบสีเดียวมันธรรมดาไปแล้ว ตอนนี้มีเทคนิคใหม่ๆ ที่จะช่วยเปลี่ยนสีผมของคุณให้ดูสวยและมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น หนึ่งในนั้นก็คือการทำสีผมแบบออมเบร (Ombre) ที่เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกันให้มากขึ้นค่ะ

ออมเบร (Ombre) แปลว่า “แรเงา” เป็นคำศัพท์ในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งนำมาใช้ในการไล่เฉดสีจากโทนสีเข้มไปหาโทนสีอ่อน และจะมีการไล่สีให้กลมกลืนกัน โดยสามารถจับคู่สีที่ใกล้เคียงกัน อย่างสีนู้ดและสีม่วง หรือ แม้แต่คู่สีที่ต่างกันอย่าง สีดำกับสีชมพู ซึ่งต่างก็สามารถนำมาทำสีแบบออมเบรได้เช่นกัน

ในปัจจุบันมีการใช้เทคนิคสีผมไล่สีแบบออมเบรมาใช้กับการแต่งหน้า, การทำเล็บ และการทำสีผม เป็นต้น ซึ่งการทำสีผมโดยใช้เทคนิคออมเบร นั้นต่อยอดมาจาก Dip Dye ที่จะเป็นสีที่แบ่งกันอย่างชัดเจน ในขณะที่ออมเบรจะเป็นการไล่เฉด ทำให้สีดูนุ่มนวลและสวยกว่า

สำหรับสาวๆ ที่รักในแฟชั่นการทำสีผม การทำผมสีเดียวอาจจะดูธรรมดาไปแล้วสำหรับคุณ All Things Hair จึงขอเชิญชวนสาวๆ ทุกคนมาดูสไตล์การสีผมแบบออมเบรที่จะทำให้คุณอยากเข้าร้านทำผมกันเลยทันที

ออมเบร (Ombre)

สีผมออมเบร Ombre
สีผมออมเบร โคนสีดำ ปลายสีบลอนด์ (Credit: Rex by Shutterstock)
สีผมออมเบร Ombre
สีผมออมเบร ย้อมปลายสีม่วงเปรี้ยวๆ (Credit: Rex by Shutterstock)
สีผมออมเบร Ombre
สีผมออมเบร ย้อมปลายสีชมพูหวานๆ (Credit: Rex by Shutterstock)
สีผมออมเบร Ombre
สีผมออมเบร โคนสีดำ ปลายสีเทา (Credit: Rex by Shutterstock)

สีผมออมเบร เป็นการย้อมสีผมให้ส่วนด้านล่างของผมมีสีสว่างกว่าด้านบน สำหรับคนเอเชียที่มีพื้นสีผมที่เข้มอยู่แล้ว การที่จะมีสีผมแบบนี้ได้จำเป็นต้องฟอกสีผมส่วนล่างให้อ่อนก่อน แล้วย้อมสีปลายผมด้วยสีที่ต้องการ

โดยการเลือกย้อมปลายผมด้วยเฉดสีที่มีความสว่างกว่าไม่มากกว่า 2 เฉดของสีผมด้านบน ก็จะทำให้สีผมดูสวยเป็นธรรมชาติ แต่จริงๆ แล้วเราก็สามารถจับคู่กับสีที่ต่างกันมาก อย่างพวกสีพาสเทลสดใส หรือ สีเทาก็ได้ ซึ่งก็จะเห็นเป็นรอยต่อของสีผมได้อย่างชัดเจน แต่ก็จะดูสวยเปรี้ยวไปอีกแบบ

Editor’s tips: การดูแลผมหลังทำออมเบร จะใช้หลักเดียวกับการดูแลผมแบบทำสีทั้งศีรษะ

  • หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ทำผมที่ใช้ความร้อนสูง หรือลดอุณหภูมิหรือเวลาที่ใช้ในการแต่งผมด้วยความร้อน รวมถึงการออกแดดจัดเป็นเวลานาน (ถ้าจำเป็นควรหาผ้าคลุมผมหรือสวมหมวก) เพราะความร้อนจะทำให้สีผมซีดจางเร็ว
  • ในช่วงที่ทำสีผมใหม่ๆ ไม่แนะนำให้ว่ายน้ำในสระหรือทะเล เพราะคลอลีน น้ำเกลือ และแสงแดดจะทำให้สีผมหลุดลอกและซีดจางเร็วขึ้น

ออมเบรแบบไล่จากเฉดสีอ่อนไปเฉดสีเข้ม

(Reverse Ombre)

สีผมออมเบร Ombre
โคนอ่อน ปลายเข้ม (Credit: Rex by Shutterstock)
ออมเบรแบบไล่จากเฉดสีอ่อนไปเฉดสีเข้ม (Reverse Ombre)
ออมเบรแบบไล่จากเฉดสีอ่อนไปเฉดสีเข้ม (Credit : Shutterstock)
สีผมออมเบร Ombre
ย้อมโคนผมให้อ่อนกว่าปลายผม (Credit: Rex by Shutterstock)

หากสีผมเดิมของคุณที่เคยย้อมไว้มีสีอ่อนอยู่แล้ว ก็สามารถใช้เทคนิคการทำสีผมแบบออมเบรได้เช่นกัน แต่ครั้งนี้จะทำในแบบที่สลับกัน โดยจะย้อมปลายผมให้เป็นสีเข้มแทน

ซึ่งต่างกับการทำสีออมเบรทั่วไปที่จะให้ปลายผมมีสีอ่อนกว่า และสว่างกว่า ทว่าออมเบรแบบไล่จากเฉดสีอ่อนไปเฉดสีเข้มแบบนี้ก็เป็นสไตล์ที่ดูเก๋ไก๋ไปอีกแบบหนึ่ง

ซอมเบร (Sombre)

สีผมออมเบร Ombre
สีผมซอมเบร (Credit: Rex by Shutterstock)
สีผมออมเบร Ombre
ซอมเบรทำให้สีผมดูเป็นธรรมชาติ (Credit: Rex by Shutterstock)
สีผมออมเบร Ombre
ไล่สีอ่อนเข้มอย่างกลมกลืนกัน (Credit: Rex by Shutterstock)
ซอมเบร (Sombre)
ซอมเบร (Sombre) (Credit : Shutterstock)

การทำสีผมโดยใช้เทคนิคออมเบรมีหลากหลายสไตล์ด้วยกัน ซึ่งหนึ่งในสไตล์ที่ดีที่สุดก็คือการย้อมสีผมแบบซอมเบร (Sombre) ซึ่งมากจากคำว่า Soft Ombre เป็นเทคนิคการไล่สีผมจากโคนผมสีเข้ม ไล่สีอ่อนลงเรื่อยๆ ไปยังปลายผม ซึ่งจะเพิ่มเสน่ห์ให้สีผมสวยยิ่งกว่าเดิม และดูสวยงามเป็นธรรมชาติ

โดยการย้อมสีผมแบบซอมเบร จะมีย้อมสีปลายผมให้อ่อนกว่าไม่เกิน 2 เฉด หรือ สว่างกว่าโคนผม จึงเป็นเหมือนเป็นการไล่สีผมอย่างกลมกลืน เห็นรอยต่อของสีผมไม่ชัดเท่าไหร่ ซึ่งจะทำให้สีผมดูสวยเป็นธรรมชาติ

บาลายาจ (Balayage)

สีผมออมเบร Ombre
บาลายาจปลายผมจะมีสีเข้มปนอยู่ (Credit: Rex by Shutterstock)
สีผมออมเบร Ombre
สีน้ำผึ้ง ไล่บาลายาจ (Credit: Rex by Shutterstock)
สีผมออมเบร Ombre
น้ำตาลหม่นไล่บาลายาจ (Credit: Rex by Shutterstock)
สีผมออมเบร Ombre
สีน้ำตาลไล่บาลายาจอย่างกลมกลืนกัน (Credit: Rex by Shutterstock)

จริงๆ แล้วสีผมบาลายาจ และ ออมเบร นั้นมีคล้ายคลึงกันอยู่มาก แต่มีความต่างกันตรงที่ การทำสีผมแบบบาลายาจจะเน้นไปในทางไฮไลต์มากกว่า คือส่วนปลายผมจะไม่ได้สว่างหมด แต่จะมีสีเข้มปะปนอยู่ด้วย เพื่อที่จะทำให้ดูมีความเป็นธรรมชาติ

โดยสีผมบาลายาจนั้นจะต้องให้ความรู้สึกลื่นไหล ดูแล้วมองไม่ออกว่าสีสว่างเริ่มจากจุดไหน หรือ สีมืดสิ้นสุดลงที่จุดใด แม้จะทำการไดร์ผมตรงก็ตาม ทั้งนี้การทำสีบาลายาจอาจมีหลายสีก็ได้

Editor’s tip : หลังจากทำสีผม ควรแชมพูที่ช่วยฟื้นบำรุงผมแห้งเสีย อย่าง โดฟ อินเทนซ์ รีแพร์ แชมพู และครีมบำรุงผม เนื่องจากในช่วงที่ทำสีผมนั้น ผมเราย่อมถูกทำให้อ่อนแอลงจากสารเคมีที่ย้อม การบำรุงผมให้กลับมาแข็งแรง นอกจากจะทำให้ผมกลับมาดูดีแล้ว ยังทำให้สีผมของเราดูสวย เปล่งประกายมากขึ้นกว่าผมที่ดูแห้งเสียและชี้ฟูอย่างแน่นอน

แฟลมโบยาจ (Flamboyage)

สีผมออมเบร Ombre
ย้อมปลายผมสีอ่อน แซมไฮไลต์นิดๆ (Credit: Rex by Shutterstock)
สีผมออมเบร Ombre
ปลายผมไฮไลต์ทำให้สีผมดูสวยเป็นธรรมชาติ (Credit: Rex by Shutterstock)
สีผมออมเบร Ombre
สีผมแบบแฟลมโบยาจ เวลาดัดคลื่นมาแล้วสวยมากๆ (Credit: Rex by Shutterstock)
แฟลมโบยาจ (Flamboyage)
แฟลมโบยาจ (Flamboyage) (Credit : Shutterstock)

หากคุณตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำสีผมแบบออมเบร หรือ บาลายาจ ดี การทำสีผมแบบแฟลมโบยาจ (Flamboyage) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ โดยแฟลมโบยาจ เป็นเทคนิคที่ผสมผสานระหว่างออมเบรแบบดั้งเดิม และเติมไฮไลต์แบบบาลายาจเข้าไป เพื่อให้สีผมมีการไล่เฉดสีที่ดูสวยเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

Editor’s tip : สาวทำสีผมทั้งหลายจะพลาดเรื่องของการบำรุงผมไปเลยไม่ได้เลยเด็ดขาด เพราะฉะนั้นสาวๆ จึงควรทำทรีตเม้นท์ด้วย เทรซาเม่ เคราติน สมูท มาส์ก มาสก์สูตรเข้มข้นพิเศษ ที่ผสานคุณค่าเคราติน ช่วยฟื้นบำรุงผมที่แห้งชี้ฟูเส้นต่อเส้นอย่างล้ำลึก

สิ่งสำคัญในการทำสีผมไม่ว่าจะเป็นแบบออมเบร หรือแบบไหนๆ ก็ตามคือ การเลือกสีผมให้เหมาะกับตัวเอง เพราะแน่นอนว่าการทำสีผมให้เข้ากับทรงผมที่ออกแบบมา ก็จะช่วยทำให้คุณดูโดดเด่น และขับผิวให้ดูสวยมากขึ้นอีกด้วย 

 

บทความก่อนหน้า
บทความถัดไป
Decoration image
Decoration image